เท่าที่ทราบ หอยทากถือเป็นอาหารเมนูราคาแพงที่ขึ้นโต๊ะในภัตตาคาร กล่าวกันว่ารสชาติอร่อยกว่าหอยเป๋าฮื้อเสียอีก (ข้อนี้ไม่อาจยืนยันได้ เพราะยังไม่เคยกิน และก็ยังไม่คิดอยากจะกินเสียด้วย ใครที่อยากลอง ผลเป็นอย่างไร ช่วยบอกกล่าวกันหน่อยก็แล้วกัน) แต่ที่จะบอกเล่าต่อไป เป็นรายงานเชิงกึ่งวิชาการที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง อ่านประดับเก็บเป็นความรู้ก็ไม่เสียหายอะไร
หอยทากมีชื่อเรียกในภาษาจีนกลางว่า กวอหนีว หรือ วอหนีว (蜗牛) แต่นิยมเรียกชื่อแรกมากว่า
หอยทากได้รับการนิยามว่า เป็น เนื้อทองคำ หรือบางแห่งก็เรียก ทองเนื้อนิ่ม เพราะเนื้อหอยทากนั้นอุดมไปด้วยโภชนะสารที่มีคุณค่าทางอาหาร มีคุณสมบัติทางยาสูง เทียบคุณประโยชน์ของมันแล้วมีค่าเทียบได้กับทองคำนั่นแล กลุ่มชนที่บริโภคหอยทากมากเป็นอันดับหนึ่งก็คือ ชนชาวฝรั่งเศส หอยทากแห่งฝรั่งเศสจึงเป็นที่เลื่องลือโด่งดังเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
หอยทากมีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ กอปรไปด้วยสารวิตามินหลายชนิด มีจุลธาตุที่สำคัญ รวมทั้งกรด อะมิโนร่วม 20 ชนิด และบางชนิดร่างกายเราสังเคราะห์ขึ้นเองไม่ได้ ข้อมูลที่เผยแพร่โดยสมาคมผู้นิยมบริโภคหอยทาก (ฝรั่งเศส) บอกว่า เนื้อหอยทาก มีคุณสมบัติลดความร้อนของร่างกายจากพิษไข้ ลดอาการบวมน้ำ ควบคุมความดันโลหิต ป้องกันการเกิดโรคของระบบไหลเวียนโลหิต หัวใจและเส้นเลือด รวมทั้งเบาหวานอีกด้วย หากบริโภคต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ทำให้ผิวชุ่มชื้นเนียนสวย และทำให้อายุยืนยาว (หยั่งนี้ ชักจะอยากกินมั่งแล้วหละ แต่ถ้าบอกว่ามีสรรพคุณเพิ่มพลังทางเพศด้วยละก้อ หอยทากเมืองไทยคงได้สูญพันธุ์กันก็คราวนี้แหละ) ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว หอยทากจึงถูกจัดเตรียมให้เป็นอาหารบำรุงของนักบินอวกาศที่ขึ้นไปโคจรรอบโลก อีกทั้งยังจัดเตรียมเป็นอาหารเสริมสุขภาพของนักกีฬา (จีน) อีกด้วยเช่นกัน
|

สายพันธุ์ 白玉 (หยกขาว) ที่ตั้งราคาขาย
กิโลกรัมละ 70.00 บาท อย่างนี้เรียกว่า ขาวจั๊ว น่าเจี๊ยะ

นี่เป็นสายพันธุ์ของบราซิล อาจจะไม่ค่อยนิยมกัน เพราะเนื้ออกดำคล้ำ

ที่เห็นตัวใหญ่ๆ เป้งๆนี้ เป็นสายพันธุ์อัฟริกา ซึ่งตรวจพบว่า
เป็นพาหะของเชื้อโรคที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์หลายชนิด
จึงไม่เป็นที่นิยมกินกัน
|
ปัจจุบัน ประเทศจีนได้นำเนื้อหอยทากมาปรุงแต่งเป็นอาหารบริโภคร่วม 200 เมนู มี 40 เมนูที่จัดเป็นสำรับบำรุงร่างกาย ป้องกันและรักษาโรคต่างๆร่วม 20 ชนิด แพทย์แผนโบราณจีนกล่าวว่า เปิบแล้วทำให้แข็งแกร่งกำยำดีด้วย (ให้เดาเอาเองนะครับว่าเป็นส่วนไหนของร่างกาย)
ข้อมูลต่อไปนี้ คุณท่านทั้งสาวน้อย และสาวมากหากได้รับรู้แล้ว อาจต้องขนลุกด้วยความเสียวสยิวปนกับอาการสยองขวัญด้วยเป็นแน่ เพราะเครื่องสำอางที่ช่วยเสริมความงามของผิวหน้าให้เนียนสวยนั้น มีส่วนผสมของเมือกที่ตัวหอยทากขับออกมานั่นแหละ (บรื๊อ)
สารเมือกลื่นๆที่หอยขับออกมานั้น เป็นน้ำย่อยเอ็นไซม์ชนิดหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านั้นประเทศจีนนำเข้าจากต่างประเทศนั้น น้ำหนัก 1 กรัม ราคาตกร่วม 3,000.00 บาทเชียว (สิบอกไห่) แต่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 150.00 บาทต่อกรัมเท่านั้น เพราะมีการเลี้ยงหอยทากกันมากขึ้น สามารถทำการสกัดเอาเอ็นไซม์เองได้ โดยเนื้อหอยสด 1 กิโลกรัม สกัดสารที่ว่านี้ได้ 3 กรัม นอกจากนั้นส่วนที่เป็นไส้ในและเปลือกของมันนั้น เมื่ออบแห้งบดป่นแล้ว จัดเป็นโปรตีนเลี้ยงสัตว์ที่ดีเยี่ยมชนิดหนึ่งเลยทีเดียว ผมเคยเลี้ยงเป็ดเมื่อสมัยเด็กๆ เคยจับรวบรวมหอยทากมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วนำมาคลุกกับรำข้าว ข้าวสุก ตั้งให้เป็ดที่เลี้ยงกิน เจ้าประคุณเอ๋ย แต่ละตัวแย่งกันกินกันจ้าระหวั่น แต่ละตัวอ้วนท้วน พุงลากดินเชียวแหละ
ข้อนี้บางคนคงสงสัยว่า ถ้าเป็ดมันชอบกิน แล้วมันหากินเองไม่เป็นหรือ ? ในเมื่อหอยทากมันคลานต้วมเตี้ยมชักช้าหลบหนีไม่ทันอยู่แล้ว ถูกต้องแล้วครับ เป็นของชอบเสียด้วย แต่หอยมันมีเปลือกหุ้มตัว เป็ดมันสุดปัญญาที่จะกลืนลงคอ และไม่มีปัญญาที่จะกะเทาะเปลือกให้แตกเสียด้วยซี ดังนั้นมันจึงต้องหาตัวช่วยครับ ตัวช่วยก็คือคนเลี้ยงเป็ดนั่นแหละครับ
|

ที่เห็นกำลังโรมรันพันตูอยู่นี้ เป็นบทโรม๊านซ์
สืบพันธุ์แลกเปลี่ยน เชื้อซึ่งกันและกัน

นี่คือเนื้อหอยทากที่ถอดออกมาจากเปลือกแล้ว
|
มีข้อคิดที่เรามักไม่ค่อยคิดกัน หรือไม่ค่อยอยากจะคิดกัน หรืออาจจะคิดไม่ออกก็เป็นได้ มีสัตว์หลายๆชนิดที่กินแต่ผักหญ้า แต่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นโปรตีนเนื้อได้เป็นอย่างดี อย่างหอยทากนี่หนึ่ง นากหญ้านี่ก็หนึ่ง กระต่ายก็อีกหนึ่ง ที่ชักมาให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ ทำไมนักวิชาการเกษตรบ้านเมืองเราจึงไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงสัตว์กินหญ้าที่โตเร็วประเภทนี้ และเลี้ยงได้ในลักษณะของมวลขนาดใหญ่ได้ (Mass production) แล้วนำมาทดแทนโปรตีนจากปลา และเนื้อสัตว์อื่นๆที่มีราคาแพง ด้วยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดักจับ และผ่านกระบวนการที่ต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายจากการแปรรูป ทำให้มีราคาแพงจนเกษตรกรแบกรับไม่ไหว แต่กับสัตว์ที่ว่านี้ เกษตรกรสามารถเลี้ยงได้เองอย่างง่ายๆ แล้วนำมาเป็นโปรตีนสดให้กับสัตว์เลี้ยง เป็นการลดต้นทุนได้มากโขเชียวเลยละ อย่างไรก็ตามแต่ มีทัศนคติที่คนไทยเรายึดติดมานาน ที่ทำให้การเลี้ยงสัตว์บางชนิดไม่ได้เกิด อย่างกระต่ายเนื้อ หรือกระต่ายขน นกพิราบ เป็นต้น เนื่องจากเห็นว่าสัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์เลี้ยง น่ารัก (เหมือนสุนัขนั่งไง ที่คนจีน คนญวนเขาตั้งฟาร์มเลี้ยงขุนฆ่าเป็นอาหารเหมือนกับการเลี้ยงหมูนั่นเลย นั่นเป็นความแตกต่างทางความเชื่อของชนชาติ อย่างเราไม่กินปลาบู่กัน เพราะมีนิยาย ปลาบู่ทอง เล่าต่อกันมานมนาน ปลาบู่ในแม่น้ำลำคลองจึงมีชีวิตสุขสบาย ไม่ถูกจับมาทำเป็นปลาเผา จนกระทั่งชาวจีน ญี่ปุ่น เข้ามาเห็น ปลาบู่ตัวเป้งๆ ไหงคนไทยไม่กินกันหว่า จึงสั่งซื้อนำไปขายที่ ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี จนแทบสูญพันธุ์ไปจากแหล่งน้ำเมืองสยามไปแล้ว จนมีคำกล่าวว่า มีของดีไม่รู้จักกิน แต่เอาไปประเคนให้คนอื่นได้ลิ้มชิมกินกันอร่อยเหาะ)
ท้ายสุดนี้ (แต่ยังสุดท้ายนะครับ ยังมีต่ออีกยาวเหยียด) หอยทากเป็นนักรักที่น่าสงสารมาก ตัวมันเองเป็นทั้งเพศผู้แหละเพศเมีย (กะเทย) แต่ช่วยให้สำเร็จบรรลุล่วงการแพร่พันธุ์ด้วยตนเองไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดทางธรรมชาติ ที่ทำให้มันต้องจับคู่กับตัวอื่นๆ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จึงจะสบสมอารมณ์หมาย แพร่ลูกแพร่หลานเป็นอาหารกำนัลให้แก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆต่อไปในห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติสืบต่อไปไม่สิ้นสุด (น่าสงสารอยู่นะ ว่าไหม ?)
|

ใส่แพ๊คละ 6 ตัว ปรุงเสร็จ กึ่งสำเร็จรูป ราคา 60.00 บาท

ส่วนใหญ่หอยทากที่ขึ้นโต๊ะอาหารจะมี 6 ตัว
ตามภาชนะที่ผลิตขึ้นมาโดยเฉพาะ

เมนูสำรับนี้มีชื่อว่า หอยน้ำแดง ให้สังเกตุคีม
กับส้อม ที่ออกแบบมาเปิบหอยโดยเฉพาะ
|
การบริโภคหอยทากของชาวฝรั่งเศสถูกมองเป็นเรื่องของสมัยนิยม แสดงถึงความมีรสนิยม และความมั่งมี ทุกครั้งที่มีงานเฉลิมฉลองในพิธีต่างๆ บนโต๊ะอาหารจานเย็นงานเลี้ยงเมนูแรกก็คือ เนื้อหอยทาก จากการติดตามตัวเลขทางสถิติ ชาวฝรั่งเศสบริโภค หอยทากปีละไม่ต่ำกว่า 60,000 ตันต่อปี ในส่วนของหอยทากสด (ตัวเป็นๆที่ยังไม่ผ่านการแปรรูป) สูงถึง 30,000 ตัน ซึ่งปริมาณดังกล่าวเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศร่วม 90 % จากการสำรวจร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ หอยทาก (ทั้งที่แปรรูป และหอยเป็น) มีจำนวนสูงถึง 500 ร้านเลยทีเดียว
การนำหอยทากมาปรุงเป็นอาหารของชาวฝรั่งเศสค่อนข้างจะมีกรรมวิธีที่น่าสนใจ ส่วนใหญ่จะเป็นการอบด้วยความร้อน จากการนำเอาเนื้อหอยมาทาด้วยน้ำมันเนยให้ทั่ว นำเอาเนื้อหอย หอม และ กระเทียมไปสับรวมกันให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นเติมเครื่องปรุงและเนย นำไปยัดใส่เปลือกหอยที่ทำความสะอาดมาเรียบร้อยแล้ว จัดเรียงในถาดหลุม (ส่วนใหญ่มี 6 หลุม - ดูรูปประกอบ) นำไปอบในเตาอบจนกระทั่งสุกพอเหมาะ นำออกเสริฟเป็น เมนูหอยทาก ที่เอร็ดอร่อยน่ากินต่อไป
การกินอาหาร หอยทาก จานเด็ดนี้ มีกรรมวิธีการกินที่เป็นศิลปะเล็กน้อย ต้องอาศัยเครื่องมือช่วยเปิบด้วย อุปกรณ์ที่ว่าประกอบไปด้วย ส้อม กับ คีม ครับ มือหนึ่งใช้คีมคีบจับตัวหอยเอาไว้ให้มั่นคง มือหนึ่งใช้ส้อมจิกจิ้มเอาเนื้อหอยออกมาจากเปลือก แล้ววางใส่จาน เหยาะพริกไทย ใส่ซอสปรุงรสตามใจชอบ แล้วรับประทานตามอัธยาศัยได้เลยครับ เชิญนะครับ
|

กะทะนี้ ท่าจะเป็นผัดเผ็ดหอย (ทาก) ลาย เห็นแล้วเรียกน้ำย่อยได้เหมือนกัน

เมนู หอยจ๊อ (เอ๊ย ไม่ใช่) หอยทากจานนี้ถ้าไม่บอก
ว่าเป็นอะไร รับรองต้องแย่งกันจิ้มแน่เลย
|
แถมท้ายให้ด้วยคลิปการเลี้ยงหอยทากที่น่าสนใจ คลิกเข้าไปเลย ที่ ..
http://video.baidu.com/v?ct=301989888&rn=20&pn=0&db=0&s=25&word=%CE%CF%C5%A3%D1%F8%D6%B3
ถ้าอยากจะรู้ว่าคลิปเลี้ยงหอยทากมีมากน้อยเท่าไร ก็ให้เลื่อนไปยังเบื้องล่างของหน้าเว็บไซท์ที่มีตัวอักษร 上一页และตัวเลขในกรอบวงเล็บนั้นก็คือจำนวนหน้าเว็บไซท์ที่มีอยู่ทั้งหมด (ดูกันตาแฉะแน่เลยครานี้)
และหากต้องการรู้ว่าเมนูหอยทากมีอะไรบ้าง มีกี่อย่าง กี่ชนิดก็คลิกเข้าไปดูที่หน้าเว็บไซท์
http://www.google.co.th/search?tbm=isch&hl=zh-CN&source=hp&biw=1569&bih=935&q=%E9%B2%9C%E8%9C%97%E7%89%9B%E8%82%89&btnG=%E6%90%9C%E7%B4%A2%E5%9B%BE%E7%89%87&gbv=2&aq=f&aqi=&aql=&oq=
|

สาวน้อยผู้กล้าหาญ

ตู ขอตัวไปก่อนละเว้ย เดี๋ยวเสร็จมัน !
|
หมายเหตุ : บางเว็บฯ อาจจะเปิดดูไม่ได้ เนื่องจาก ต้องใช้โปรแกรมจำเพาะที่มีใช้กันเฉพาะประเทศจีน ในบ้านเราไม่ใช้กัน เพราะเป็นโปรแกรมที่ใช้กับวินโดว์เวอร์ชั่นภาษาจีน เมื่อเราดาวน์โหลดมาลงในคอมฯ บ้านเราจะอ่านไม่เป็นภาษา ซึ่งทำให้ใช้งานตามคำสั่งไม่ได้ ถ้าต้องการเปิดดูให้ได้ ก็ต้องใช้วินโดว์ภาษาจีนเท่านั้น
หากท่านได้เปิดคอมฯเชื่อมเข้าไปในโลกไซเบอร์ ค้นหาข้อมูล รูปภาพ หรือคลิป ทางด้านการเกษตร จากหน้าอินเซิร์ชเอ็นจินของ ไป่ตู้ (百度) ที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ ประมง ฯลฯ ล้วนแต่เป็นการร่วมมือของหน่วยงานต่างๆในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นส่วนของภาครัฐ หรือภาคเอกชผลิตขึ้นมาเผยแพร่ทางสื่ออินเตอร์เน็ตจำนวนมหาศาล ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่เกษตรกรจีนเป็นอย่างยิ่ง นั่นเป็นภาพที่เห็นได้ชัดเจนว่า ทำไมจีนจึงสามารถผลิตสินค้าการเกษตรได้จำนวนมากๆ และราคาที่ค่อนข้างถูก นั่นคือสิ่งที่เราต้องใส่ใจศึกษา ทำความเข้าใจถึงการพัฒนาการทางด้านการเกษตรของประเทศจีน แล้วนำมาประยุกต์ใช้ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรไทยไม่น้อยเลยทีเดียว (ยังมีต่ออีก พบกันคราวหน้า) |