|
คุณกินอาหารตัดต่อ ดัดแปรพันธุกรรม (GMO) แล้วหรือยัง? (II)
เมื่ออาหารดัดแปรพันธุกรรมนับวันได้เพิ่มทวีมากขึ้นในตลาดของผู้บริโภค การโต้เถียงถึงความปลอดภัยของอาหารดัดแปรพันธุกรรมเหล่านี้ก็เริ่มเข้มข้นมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และขยายวงกว้างออกไปถึงขอบข่ายทางเศรษฐกิจการค้า ทางสังคม การเมือง ตลอดจนทางศาสนาและจริยธรรมอีกด้วย เทคโนโลยีใหม่นี้มีแนวโน้มว่าจะเป็นแก่นสำคัญของการพัฒนาทางการเกษตรโดยแท้จริงในอนาคตข้างหน้า จึงเป็นที่สนใจและเกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางทุกวงการ |
การถกเถียงกันถึงอาหารดัดแปรพันธุกรรมเหล่านี้ต่างพุ่งเป้าไปยัง ความปลอดภัย 2 สถานที่จะเกิดขึ้นต่อสภาพแวดล้อมและความปลอดภัยในการบริโภคเป็นสำคัญ ความปลอดภัยทางสภาพแวดล้อมนั้นก็คือ เมื่อได้ปลดปล่อยพืชพรรณที่ตัดต่อพันธุกรรมเหล่านี้ออกสู่ธรรมชาติแล้ว จะก่อเกิดผลกระทบเสียหายหรืทำลายความสมดุลธรรมชาติอย่างไรบ้าง หรือก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกระทบถึงพืชพรรณอื่นๆที่มีอยู่ในธรรมชาติเช่นไร ส่วนความปลอดภัยในการบริโภคนั้น ได้ยึดถือหลัก The substantive equating principle ขององค์การ OECD เป็นบรรทัดฐานในการตัดสินพิจารณา กล่าวคือ ผลผลิตที่ได้จากพืชตัดต่อพันธุกรรมนั้น ถ้ามีแก่นสมบัติ เทียบเทียมเหมือนกับผลผลิตที่ได้จากพืชธรรมชาติแล้วไซร้ ถือว่ามีความปลอดภัยต่อการบริโภค
ประเทศที่มีความกระตือรือร้นในการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ดัดแปรพันธุกรรมก็คือประเทศ สหรัฐอเมริกา จากการเล็งเห็นถึงผลประโยชน์อันมหึมาของผลผลิต จี เอ็ม โอ เหล่านี้ ได้ออกมากล่าวแสดงความเห็นว่า ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ถึงผลเสียหายทางหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างชัดเจนก็ไม่ควรปิดกั้น ควรมีใจเปิดกว้างในการวินิจฉัยและการประเมินค่า ถ้าผลิตภัณฑ์ที่ว่าเหล่านี้มีความปลอดภัยจริง ก็ไม่ควรถูกควบคุมอีกต่อไป |
ประชาชนและองค์กรปกป้องสภาพแวดล้อมในยุโรปเรียกอาหารดัดแปรพันธุกรรมนี้ว่า อาหารที่ทำลายตัวเอง เนื่องจากได้เกิดกรณีข่าวคราวความเสียหายผิดปกติขึ้นหลายครั้งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารตัดต่อพันธุกรรม จากการสำรวจพบว่า บรรดาชาวอังกฤษ 60 % พากันต่อต้านอาหารเหล่านี้ ในปี ค.ศ.2,001 รัฐบาลฝรั่งเศสได้อนุมัติให้ปลูกข้าวโพดปรับแต่งพันธุกรรมจำนวน 2,000 เฮ็กแตร์ หลังจากเก็บเกี่ยวเก็บรักษาไว้ในโกดังแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไรต่อไป เนื่องจากไม่มีผู้ซื้อ ได้มีรายงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารดัดแปลงพันธุกรรมจากกลุ่มประเทศประชาคมยุโรปที่ได้ชี้แจงออกมาอย่างต่อเนื่องว่า จากการเฝ้าดูผลที่เกิดขึ้นกับหนูที่ให้กินมันฝรั่งที่ได้จากการตัดต่อพันธุกรรมแล้ว 10 วัน ปรากฏว่าอวัยวะบางส่วนของ ไต ม้าม และลำไส้ เกิดความเสียหายขึ้น และในหนังสือวารสาร The Nature ก็ได้ตีพิมพ์ว่าได้พบการแปดเปื้อนทางพันธุกรรมขึ้นกับข้าวโพดป่าในเขตแดนของเม็กซิโก เข้าใจว่าน่าจะเกิดจากข้าวโพดที่บริจาคให้ความช่วยเหลือของประเทศอเมริกา ซึ่งเกรงว่าอาจจะก่อเกิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ และก็ได้รับการสมทบสนับสนุนจากกลุ่มต่อต้านไปในทิศทางเดียวกัน ในขณะเดียวกันนั้น ทางองค์การอาหารโลกก็ได้แสดงความเป็นห่วงว่า จากการรุกคืบของพืชตัดต่อพันธุกรรมแทนการปลูกด้วยพันธุ์พืชดั้งเดิมนั้น อาจทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดน้อยหดหายลงไป และในทางตรงกันข้ามกลับส่งเสริมให้วัชพืชมีความแข็งกล้าต่อโรคแมลงขึ้น อาจสร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นต่อความสมดุลของระบบนิเวศน์ธรรมชาติได้ จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้นอย่างเผ็ดร้อนรุนแรงมากยิ่งๆขึ้น แม้กระทั่งประเทศที่สนับสนุนพืชอาหาร จี เอ็ม โอ อย่างอเมริกา และ แคนาดา เองนั้น ประชากร 27 % ก็เริ่มคลางแคลงใจในความปลอดภัยของอาหารดัดแปลงพันธุกรรมเหล่านี้ขึ้นมาแล้วเช่นกัน |
ในทัศนะมุมมองทางเศรษฐกิจที่มีต่อพืชพรรณหรือผลิตภัณฑ์อาหารดัดแปรพันธุกรรมที่ว่านี้ ได้มีนักวิชาการของอินเดียออกมาให้ความเห็นว่า บรรดาบริษัทที่ยึดกุมเทคโนโลยีเหล่านี้มักจะถือผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจการค้าเป็นหลักสาระสำคัญ ไม่ใคร่ได้คำนึงถึงการพัฒนาเพิ่มผลผลิตที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศที่กำลังพัฒนามากน้อยเท่าไรนัก ได้หยิบยกนำเอาลิขสิทธิ์ทางปัญญามาใช้อย่างเข้มงวด เท่ากับเป็นการบังคับให้บรรดาเหล่าประเทศที่กำลังพัฒนาตกอยู่ในภาวะถูกบีบคั้นโดยไม่มีทางเลี่ยง อนึ่ง นักวิชาการผู้รู้ได้กล่าวว่า การต่อต้านผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมจากบรรดาประเทศในประชาคมยุโรปนั้น โดยแท้จริงแล้วหาได้เกิดจากข้อกล่าวหาทางความปลอดภัยและปัญหาทางสภาพแวดล้อมเป็นสาเหตุที่สลักสำคัญไม่ หากแต่ประเทศประชาคมยุโรปนั้นให้ความสำคัญและถือความเสมอภาคความเป็นธรรมทางการค้าเป็นสิ่งสำคัญ แต่ได้ยึดเอาปัญหาทางความปลอดภัยต่อชีวิตสุขภาพและสภาพแวดล้อมมาเป็นข้ออ้างในการบอยคอตต่างหาก
เนื่องจากได้รับการต่อต้านอาหาร-ผลิตภัณฑ์ดัดแปลงพันธุกรรมจากประเทศประชาคมยุโรปเกือบทั้งหมด ทำให้เกิดผลกระทบต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์สินค้าเหล่านี้ของอเมริกาเป็นอย่างสูง ทำให้อเมริกาขาดรายได้หดหายไปร่วมพันล้านดอลลาเลยทีเดียว อีกทั้งยังส่งผลชะงักงันในโครงการผลิตข้าว และมันเทศตัดต่อพันธุกรรมเชิงพาณิชย์ที่กำลังดำเนินถัดต่อไป หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการเปิดประชุมทางวิชาการระหว่างประเทศขึ้น เรียกร้องให้ สหรัฐอเมริกาได้ทำการวิจัยศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางระบบนิเวศน์ให้ถ่องแท้ชัดเจน ก่อนที่จะดำเนินการผลิตพืชตัดต่อพันธุกรรมแต่ละชนิดในเชิงอุตสาหกรรมต่อไป |
แม้ว่าจะมีการวิจารณ์โต้เถียงเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารดัดแปลงพันธุกรรมโดยที่ยังไม่มีข้อสรุปแต่อย่างใดนั้น แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะประสบกับความสูญเสียและผลกระทบทางเศรษฐกิจก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่การเพาะปลูกพืชดัดแปรพันธุกรรมเหล่านี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด นับวันมีแต่ขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกาได้แถลงว่า บรรดาถั่วเหลือง 3/4 ข้าวโพด 1/3 ที่เพาะปลูกในปี 2,002 ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ตัดต่อพันธุกรรมทั้งสิ้น เนื่องด้วยเกษตรกรได้เข้าใจในข้อดีของเมล็ดพันธุ์พันธุ์เหล่านี้ ที่สามารถให้ผลผลิตเพิ่มสูงขึ้น จากความต้านทานที่เกิดจากการถ่ายโอนพันธุกรรม ลดค่าใช้จ่ายจากการใช้สารเคมีเกษตรต่างๆลงได้มากมายและชัดเจน อีกทั้งยังลดการแปดเปื้อนของสารเคมีที่มีต่อสภาพแวดล้อมลงอีกมากมายก่ายกอง แม้แต่บรรดาประเทศประชาคมยุโรปที่มีความระมัดระวังในเทคโนโลยีนี้ก็ได้จัดประชุมและมีการลงคะแนนเสียงโหวตผ่านร่างกฎหมายในการผลิตอาหารคัดแปลงพันธุกรรม และได้กำหนดมาตรฐานการผลิตและควบคุมอาหารดัดแปรพันธุกรรมเหล่านี้อย่างเคร่งครัด เป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดของประชาชนผู้บริโภคลง และเริ่มให้ความสนใจในการวิจัยค้นคว้าต่อเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง เพื่อพัฒนาตามให้ทันต่อความก้าวหน้าของตลาดการค้าในอนาคตต่อไป แม้กระทั่งประเทศญี่ปุ่นเองก็เริ่มปรับเปลี่ยนท่าทีในข้อบังคับอาจยอมให้มีข้าวโพดดัดแปรพันธุกรรมเป็นส่วนผสมในอาหารได้ |
สิทธิ์ในการรับรู้และสิทธิในการเลือกสรรอาหารตัดต่อพันธุกรรมระหว่างประชาชนในประเทศเจริญพัฒนาแล้วกับประชาชนในประเทศที่กำลังพัฒนาและยากจนนั้น มีความแตกต่างกันเป็นอย่างยิ่ง สิทธิ์ในการรับรู้ทางข้อมูลนั้นเป็นเรื่องที่เลือกแลเรียกร้องได้ในประเทศที่มั่งมี แต่สำหรับประชาชนในประเทศที่ยากจนกำลังพัฒนานั้น การเลือกเอาระหว่างสิทธิ์ในการรับรู้และเลือกสรรนั้น ประชาชนเหล่านั้นคงต้องเลือกเอาอาหารตัดต่อพันธุกรรมก่อนอย่างแน่นอน เนื่องจากในแต่ละปีนั้น มีผู้คนอดอาหารตายประมาณ 24,000 คน และกินอาหารไม่อิ่มท้องร่วม 8 ร้อยล้านคน อาหารดัดแปลงพันธุกรรมน่าจะเป็นหนทางออกที่ดีในการอยู่รอดของพวกเขาอย่างแน่นอน มีผู้คนกล่าวว่าภายในเวลา 50 ปี ต่อจากนี้ไปเทคโนโลยีคัดต่อพันธุกรรมนี้น่าจะเป็นอาวุธ-เครื่องมือในการขจัดปัดเป่าความเดือดร้อนจากขาดแคลนอาหารและสร้างความอยู่ดีกินดีของชาวโลกได้อย่างแท้จริง |
ความปลอดภัยของอาหารดัดแปรพันธุกรรมนั้นไม่สามารถระบุได้ชัดเจนแน่นอนว่า ปลอดภัย หรือ ไม่ปลอดภัย ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ในขณะที่มีข้อกังขาทางด้านลบต่อระบบนิเวศน์แวดล้อมนั้นก็ควรจะได้มีการประเมินผลทางด้านบวกของมันอีกด้านหนึ่งด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านั้น การปลูกฝ้ายได้ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายนั้นได้พิษจากยากำจัดศัตรูพืชถึงปีละ 4-5 หมื่นราย และเมล็ดพันธุ์ฝ้ายที่ทนทานต่อแมลงก็ทำให้การใช้ยากำจัดแมลงลดลงเป็นอันมาก ทำให้สุขภาพของเกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายฟื้นฟูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติก็ดีขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การค้นพบวิทยาการหรือเทคโนโลยีใหม่ๆต่างก็นำมาซึ่งผลในด้านบวกและด้านลบ เปรียบเสมือนดาบที่มีคมทั้งสองด้าน ขึ้นอยู่กับความละมัดระวังในการใช้ ควรจะได้ศึกษาถึงผลเสียและผลดีที่จะบังเกิดขึ้น เทคโนโลยีการตัดต่อถ่ายโอนพันธุกรรมก็เช่นกัน ยังนับว่าเป็นศาสตร์ที่ยังใหม่แปลกสำหรับเราเป็นอย่างยิ่ง แต่ในเบื้องหน้าเท่าที่เรารับรู้อยู่ในขณะนี้ มันได้ก่อประโยชน์ให้กับเราอย่างหรูเลิศ แต่ในขณะเดียวกันผลเสียที่เราคาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นไปนั้นก็ยังไม่เป็นที่ประจักรชัดเจน ดังนั้นเทคโนโลยีที่ยังไม่ทันได้สุกงอมเลยนั้น ก็อย่าได้ด่วนสรุปตัดสินใจปฏิเสธทิ้งไปเสีย |
พืชตัดต่อพันธุกรรม และ หนทางคลี่คลายปัญหา
การประเมินค่าความปลอดภัยของอาหารดัดแปรพันธุกรรมได้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือของชาติต่างๆจากองค์กร OECD, FAO, UNEP และคณะกรรมการร่างกฎระเบียบผลิตภัณฑ์อาหารนานาชาติได้ลงมติเห็นชอบในหลักการที่ค่อนข้างชัดเจนเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารดัดแปรพันธุกรรม ได้มีการเปิดประชุมสหประชาชาติขึ้นเมื่อเดือน มกราคม ปี 2,001 ที่ประเทศแคนาดามีประเทศที่ข้าร่วมรวม 113 ประเทศ ว่าด้วยสนธิสัญญาเบื้องต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยของอาหารชีวภาพ (Biological Security Protocol) ที่แจงไว้ว่า ผู้บริโภคมีสิทธิ์ในการรับรู้ข้อมูลของผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของพืชปรับแต่งพันธุกรรม เมื่อมีการนำผ่านแดนดินถิ่นประเทศใดๆ แต่ละประเทศมีสิทธิ์ในการประเมินค่าและดำเนินการใดๆได้ตามความเหมาะสม |
เกี่ยวกับหลักการที่นำมาใช้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารปรับแต่งพันธุกรรมนี้ ประเทศในประชาคมยุโรป แคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศในแถบเอเชียตะวันออก ต่างก็ได้ใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อผลิตภัณฑ์อาหารดัดแปลงพันธุกรรมทั้งหมด โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ต้องติดเครื่องหมายระบุว่าเป็นอาหารดัดแปลงพันธุกรรม และบางประเทศบางแห่งถึงกับให้ผลิตภัณฑ์อาหารที่ไม่ได้มีส่วนของพืชพรรณตัดต่อพันธุกรรมนั้นแสดงผลการตรวจสอบยืนยันให้ชัดแจ้งอีกด้วย |
ถึงแม้จะได้มีการนำมาตรการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารดัดแปรพันธุกรรมมาใช้แล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติก็ยังไม่มีการตื่นตัวเท่าไรนัก เนื่องจากผู้บริโภคโดยทั่วไปยังขาดความรู้ความเข้าใจในหลักวิชาการทางด้านนี้เป็นอันมาก แม้แต่ในหมู่ผู้มีการศึกษาสูงๆก็ตาม เนื่องจากศาสตร์แขนงนี้ต้องอาศัยความเข้าใจต่อวิชาการด้านพันธุกรรมค่อนข้างลึกซึ้ง จึงจะทำความเข้าใจได้ ลำพังพบเห็นศัพท์ทางเทคนิคก็ยังงงเป็นไก่ตาแตกเสียแล้ว เมื่อมีผู้แสดงความเห็นคัดค้านต่อต้านหรือสนับสนุนก็สับสนใจไม่รู้จะเข้าข้างฝ่ายใดดี เพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง จึงก่อให้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างกลุ่มที่สนับสนุนและกลุ่มที่ต่อต้านอาหารคัดแปลงพันธุกรรมเหล่านี้ขึ้น ถึงอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้มีสินค้า-ผลิตภัณฑ์เหล่านี้วางจำหน่ายในท้องตลาดอย่างแพร่หลายแล้ว โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากถั่วเหลืองและข้าวโพด อย่างเช่นน้ำมันประกอบอาหารถั่วเหลือง และขนมขบเคี้ยวจากข้าวโพด และต่อจากนี้ไปก็น่าจะถึงคิวของ ข้าว ไม่ช้าก็เร็วอย่างแน่นอน |
แล้ววันนี้ คุณกินอาหาร จี เอ็ม โอ (Gene Modified Foods) แล้วหรือยัง? | |
เกษตรไฮเทค
|