ReadyPlanet.com


การปฏิวัติเกษตรครั้งที่ 3


การปฏิวัติเกษตรครั้งที่ 3 ได้เริ่มต้นแล้วครับในช่วงสองทศวรรษตที่ผ่านมา หากแต่ว่ายังไม่ได้ดำเนินการไปอย่างฉับพลันทันที เนื่องจากมีผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันอยู่ เนื่องจากการปฏิวัติการเกษตรครั้งที่ 2 นั้น มุ่งเน้นไปในทางเกษตรอนินทรีย์ ที่ใช้สารเคมีกันอย่างขนานใหญ่ เช่นปุ๋ย เคมีเกษตรในการป้องกันกำจัดโรค-แมลง และสารเคมีสังเคราะห์ต่างๆจำพวกสารฮอร์โมน สารกระตุ้น รวมทั้งการขยายพันธุ์พืชด้วยวิธีที่รวดเร็วและปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้น แต่เป็นวิธีการทางมหภาค เช่นการปักชำ การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ

เนื่องด้วยมีการใช้สารเคมีอินทรีย์กันอย่างแพร่หลายนับสิบๆปี ทำให้มีการปนเปื้อนสารเคมีเกษตรเหล่านี้ขึ้นในสภาพแวดล้อมทั่วไป ไม่ว่าจะเป้นการปนเปื้อนในอากาศ ในดิน และที่หนักหนาสาหัสก็คือปนเปื้อนลงในน้ำ น้ำที่เราใช้บริโภค ใช้ดื่มมใช้กิน เป็นผลกระทบต่อสุขภาพของชีวิตคนและสัตว์อย่างใหญ่หลวง เกิดโรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆขึ้น (มะเร็ง) ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงทำให้เราได้ตระหนักถึงผลเลวร้ายที่จะเพิ่มทวีรุนแรงมากขึ้น หากไม่ลดการใช้สารเคมีเกษตรลง

โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่เราประสบกับความสำเร็จหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทาง จุลินทรีย์ สารสุดเข้มข้นเพื่อเพิ่มผลผลิต และงานวิจัยอื่นๆที่วางแพนไว้ในอนาคต ที่สามารถเปลี่ยแปลงทัศนะคติแบบดั้งเดิม โดยเปลี่ยนมาทำการเกษตร ที่เรียกขานกันว่า เกษตรอินทรีย์ นั่นไง หมายความว่า การเกษตรในอนาคตนั้นจะพยามยามไม่ใช้สารเคมีอนินทรีย์ (ถ้าใช้ก็ใช้แต่น้อย / จำเป็น) แต่จะหันมาใช้วิธีการทางธรรมชาติมากขึ้น หาหนทางผลิตโดยเทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งมีชีวิต เช่นใช้สารสมุนไพร ใช้หลักการทางชีวะ-ฟิสิกซ์ ในการเพิ่มผลผลิต

การเปลี่ยแปลงครั้งนี้ เกษตรกรไทยควรจะปรับตัวอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าลำบากใจ เพราะเกษตรกรไทยเราขาดความรู้ ทุกวันนี้ที่เป็นไป เกษตรกรไทยถูกบริษัทที่จำหน่ายเคมีเกษตรครอบงำความคิดตลอดเรื่อยมา ว่าต้องใช้ปุ๋ย ใช้ยาเคมี จึงจะประสบกับความสำเร็จในอาชีพ สิ่งใหม่ที่เกิดขึ้นนั้น เกษตรกรไทยไม่มีสิทธิ์เข้าถึงเลย เพราะถูกปั่นหัวเสียเปื่อนยุ่ยจนคิดเองไม่เป็นเสียแล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริงเชียว เกษตรกรไทย ชาวนาไทยที่ตั้งชื่อเสียสวยหรูว่า สันหลัง (ผุๆ) ของประเทศชาติ กี่ปี กี่ชาติก็ยังจน และจนยิ่งกว่าเดิม เพราะต้องเป็นหนี้เป็นสิน จนต้องขายที่ขายนา ผันตัวเองมาเป็นคนรับจ้างทำสวนทำนากํนเป็นแถวๆ นี่คือเรื่องจริง

นวัตกรรมที่เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ๆ หากมีการนำเข้ามาประเทศไทย ส่วนใหญ่แล้วผู้บริโภคมักจะเรียกหา หนังสือรับรองจากหน่วยงานราชการไทย ทั้งที่โดยความจริงแล้ว ข้อมูลทั้งหมดนั้นปัจจุบันเราสามารถค้นหาได้จากแหล่งต้นตอได้โดยตรงทางอินเตอร์เน็ต แต่อุปสรรค์ที่เกิดขึ้นกับคนไทยนั้น ก็คือเรื่องของภาษาหนังสือ ทำการสื่อสารทำความเข้าใจนั้นเป็นอุปสรรค์ข้อใหญ่ ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ยังพอทำเนา แต่ถ้าเป็นภาษาจีนแล้วละก้อ อันนี้น่าหนักใจหน่อย เพราะเราไม่ได้ให้ความสำคัญด้านภาษาจีนมานานแล้ว เพิ่งจะเปิดรับเมื่อไม่นานมานี้เอง ซึ่งก็ยังเรียกได้ว่า อยู่ในระดับอนุบาลอยู่

ดังนั้นกลุ่มผู้บริโภคดังกล่าวจึงเข้าไม่ถึงและไม่กล้าใช้นวัตกรรมใหม่ๆโดยที่ไม่เห็นใบรับรองจากทางการ ซึ่งโดยความจริงแล้ว เราสามารถสืบค้นได้จากเจ้าของประเทศผู้ผลิตโดยตรง เพราะขบวนการคุ้มครองผู้บริโภคนั้น ทางการของแต่ละประเทศนั้นก็ให้ความสำคัญดำเนินการกันอยู่แล้ว โดยเฉพาะประเทศที่ส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังต่างประเทศ

นวัตกรรมนั้นเป็นเทคโนโลยีใหม่ ผลของมันนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งบางครั้งก็ขัดแย้งกับความคิดที่เรายึดติดกันอยู่ จึงทำให้ทำใจยอมรับไม่ได้ ทั้งนี้เพราะไม่มีความเข้าใจแล้ว ยังไม่ทำการศึกษาทดลองอีกด้วย เป็นที่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆที่เกิดขึ้นได้



ผู้ตั้งกระทู้ คนทำมันแค่อยากเสนอความคิดนอกกรอบอีกแง่มุม :: วันที่ลงประกาศ 2011-07-30 22:33:44 IP : 180.183.68.238


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (1436505)

 บทความทั้งหมดนี้เป็นของเว็บบอณดนี้นะครับ ผมเข้าไปอ่านแล้วจึงอยากให้โดดขึ้นมากระทู้แรกอีกครัั้งเพียงเท่านั้น เผื่อจะสกิดใจชาวเกษตรกรไทยได้บ้าง

ผู้แสดงความคิดเห็น อีกแง่มมุม วันที่ตอบ 2011-07-31 09:53:07 IP : 180.183.68.238



[1]



กระทู้นี้ไม่เปิดให้แสดงความคิดเห็น

Copyright © 2010 All Rights Reserved.
Welcome to Eco-agrotech.com Photo Albums