จากกรณีที่หยิบยกถามไถ่มาว่า หากพืช (ที่ยกตัวอย่างมานั้นคือ ข้าว) ถ้าบำรุงให้สมบูรณ์ แตกกอใหญ่ มีใบมาก จะทำให้ได้รวงที่ติดเมล็ดน้อย เมล็ดลีบ อาการดังกล่าวเราเรียกว่า เฝือใบ หรือ บ้าใบ ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการใส่ปุ๋ยที่ไม่ถูกต้อง ด้วยปุ๋ยที่ให้นั้นมีส่วนของธาตุ ไนโตรเจน สูง ซึ่งชาวยาส่วนใหญ่มักจะชอบใช้กัน (ยูเรีย หรือไม่ก็ ปุ๋ยแอมโมเนีย) เพราะหลังจากหว่านให้ต้นข้าวแล้วจะมีการแตกกอหญ่ขึ้น ใบมาก และใบออกสีเขียวดูแลสวยงาม แต่ทว่า การใส่ปุ๋ยดังกล่าวเป็นเวลานานๆ ทำให้เกิดการตกค้างสะสมกันมากขึ้นๆ โดยจะซึมลึกลงในชั้นดินลึกลงไปเรื่อยๆ เมื่อต้นข้าวเติบใหญ่ขึ้น ราดแทงลึกขึ้น จึงยังคงมีการดูดเอาปุ๋ยยูเรียในชั้นดินลึกๆมาใช้อีกต่อไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ข้าวมีการเจริญเติบโตทางใบดดยไม่หยุดยั้ง นั่นคือสาเหตุมหญ่ที่ทำให้ต้นข้าวมรอาการเฝือใบ หรือบ้าใบ ทำให้ติดเมล็ดน้อย หรือเมล็ดลีบ ด้วยความไม่สมดุลทางธาตุอาหารที่เกิดจากการให้ปุ๋ย ไนโตรเจนมากไป แต่ขาดธาตุ ฟอสฟอรัส และ โปตัสเซี่ยม แต่ทว่ายังมีตัวแปร และปัจจัยอื่นที่เรามองข้ามความสำคัญไป นั่นก็คือ ศักยภาพของต้นพืชเอง (พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ขีดความสามารถ ความแข็งแกร่งของต้นพืช) รวมทั้งประสิทธิภาพของขบวนการ แสงสังเคราะห์ (ทีีเป็นตัวจักรของการสร้างอาหารไปเลี้ยงส่วนต่างๆของต้นพืช) โดยที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับแสงอดด (ที่เป็นพลังงานที่สำคัญของต้นพืช)

การจะทำให้ต้นพืชมีศักยภาพสูงขึ้น (หรือสูงถึงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นั้น) ต้องทำให้กลไกที่เป็นตัวควบคุมการทำงานนั้นทำงานได้เต็มที่ ทำงานได้เข้มข้นมากขึ้น ก็ต้องโยงไปถึงสิ่งที่เป็นตัวควบคุมหรือตัวกำหนดที่สำคัญยิ่ง นั่นก็คือ ยีน หรือ หน่วยพันธุกรรมนั่นเอง

ไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์ ล้วนแต่มียีนเป็นตัวกำหนดลักษณะ กำหนดความเป็นไปทุกๆองคาพยพ แม้กระทั่งสติปัญญาก็ไม่เว้น ยีนที่ควบคุมลักษณะ หรือการทำงานนั้น มิใช่มีแค่หน่วยเดียว แต่มีมากมายหลายหน่วย และมีการกระจายกันออกไป มิได้อยู่รวมกันเป็นหมวดเป็นหมู่ ดังนั้นการแสดงออกของลักษณะหนึ่งๆ จึงมีความแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่ที่ว่า ลักษณะนั้นๆ มีความเข้มของยีนนั้นๆมากน้อยเท่าไร อย่างเช่นสีของเส้นผม เป็นต้น บางคนจะมีสีผมดำขลับ บางคนก็ดำอ่อนลง บางคนก็เป็นสีดอกเลา บางคนก็ผมขาว เป็นต้น การที่จะทำให้ ยีนควบคุม ลักษณะต่างมีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นเรื่องที่กระทำได้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำได้แล้ว โดยสุนไพรจากธรรมชาติ นั่นก็ึคือ สาร จีพีไอที (นาซี 778)

จากการทำงานโดยการชักนำ กระตุ้นการทำงาน แสดงออกของลักษณะที่เข้มข้นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น มีอัตราเร่งที่เร็วขึ้น กระบวนทางชีวภายในต่างๆขับเคลื่อนดำเนินไปทุกส่วน ทำให้ต้นพืชมีพัฒนาการทางรากอย่างหนาแน่นสมบูรณ์ ทอดไปได้ยาว หยั่งได้ลึก สามารถดูดซับอาหาร น้ำได้เต็มที่ ส่งไปบำรุงเลี้ยงทุกส่วนของต้นพืช ทำให้มีการแตกกิ่งก้าน ใบ สารสีเขียวเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าๆตัว จับดักแสงแดด (พลังงาน) ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ได้เต็มที่ จึงปรุงอาหารได้เหลือเฟือ มากพอที่จะส่งไปให้ขบวนการต่างๆที่มีความสำคัญลดหลั่นกันไปได้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ ความต้านทานต่อโรค แมลง สภาพแวดล้อมที่แปรปรวน ด้วยอัตราเร่งมากกว่าปกติ ผลพวงที่เราได้รับก็คือ ต้นไม้โตเร็วกว่าปกติ ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น ลดการใช้ยาเคมี แม้กระทั่งปุ๋ย แต่ทว่าให้ผลผลิตเพิ่มมากกว่าเดิม ด้วยคุณภาพที่ดีเลิศทุกๆด้าน

จากผลที่เกิดขึ้น ด้วยสารสมุนไพรเพียงตัวเดียว ที่เจาะลึกถึงระดับยีน จึงทำให้เกษตรกรที่ยึดติดกับแนวทางเก่าๆที่พึ่งแต่เคมีเกษตร ไม่เชื่อว่าสารสมุนไพรจะรังสรรค์ทำให้เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องพยายามผลักดันเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่ โดยการชักจูงให้มีการทดลองใช้กันมากขึ้น จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เกาตรกรที่ได้ซื้อไปใช้แล้วได้ช่วยกีนออกมายืนยัน ส่งเสริมชักชวนกันใช้ให้มากขึ้น เพราะผลตอบแทนที่ได้รับนั้นมันคุ้มค่า และผลประโยชน์ตกแก่เกษตรกรทั้งสิ้น

ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหาที่กล่าวมานั้น แนวทางก็คือ ใช้ นาซี 778 แช่เมล็ดข้าวก่อนหว่าน และฉีดพ่นให้ทางใบอีกครั้งเท่านั้น ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป

ชาวนาหรือเกษตรกรส่วนใหญ่เมื่อเห็นพืชที่ปลูกมีใบเขียวขจีแล้วก็มักจะพอใจ เพราะนั่นคือสัญญาณที่ดีพืชจะเจริญเติบโตงอกงามดีต่อไป จึงมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย หนือแอมโมเนีย หรือปุ๋ยผสมที่มีส่วนของไนโตรเจนสูงๆให้กับพืชที่ปลูก แต่การที่พืชมีใบสีเขียวนั้นหาได้บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของกระบวนการ "แสงสังเคราะห์" ไม่ ดังนั้นความแตกต่างของ ในที่มีสีเขียวที่เกิดขึ้นจากการให้ปุ๋ย (หรืออื่นๆก็ตาม) กับ การให้ นาซี 778 นั้น ก็คือ ศักยภาพที่แฝงอยู่ของการทำงานที่เกิดขึ้นจากหน่วยพันธุกรรมที่มีอัตรของความ เข้ม และอัตราเร่งที่เร็วขึ้นกับพืชที่ได้รับสาร GPIT ซึ่งจะดำเนินไปอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้มีการเติบโตที่ดี พร้อมทั้งให้ผลผลิตที่สูง ด้วยคุณภาพที่ดีเยี่ยม แต่กับพืชที่ให้ปุ๋ยนั้น ทำให้เกิดแต่ใบมากขึ้น และเขียวขึ้นเท่านั้น แต่จะไม่มีผลต่อการให้ผลผลิต ดังนั้นจึงทำให้เกิดลักษณาการ เฝือใบ หรือ บ้าใบ แต่ให้ผลผลิตน้อย หรือไม่ติดดอกออกผลเลยก็มี ดังนั้น ผลไม้บางต้นที่ไม่เคยออกดอกเลยนั้น เมื่อได้รับสารสมุนไพร นาซี 778 แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็ออกดอกติดผลทันที เนื่องจากขาดตัวเชื่อมการทำงาน แต่สาร GPIT นั้นสามารถไปกระตุ้นการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องนั้นได้ จึงทำให้เกิดสะพานเชื่อมต่อ ที่ทำให้มีการออกดอก และติดผลได้ในที่สุด ดังนั้น นาซี 778 จึงเป็นสารที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่นำมาใช้บำรุงพืชพรรณที่เราเพาะปลูกหวังผล ที่ดีที่สุด

ดีครับจะได้รู้มาก