ประเทศจีน เป็นประเทศที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล อีกทั้งยังมีประชากรมากที่สุดในโลก แต่ทว่ากลับมีความมั่นคงทางการเมืองเป็นอย่างสูง มีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งและมั่นคง หลังจากที่ พณ.ท่าน เติ้ง เสี่ยวผิง ได้นำเอาระบบทุนนิยมมาประยุกต์ใช้กับการปกครองในระบอบเผด็จการสังคมนิยมประชาธิปไตย (หากใช้ศัพท์คำว่า ระบอบคอมมิวนิสต์ คนไทยจะเกิดความรู้สึกด้านลบที่มีต่อประเทศที่ปกครองด้วยระบอบนี้ เนื่องจากศัพท์คำนี้ถูกนำมาใช้ในยุคสงครามเย็นระหว่างค่ายโลกเสรีที่มีอเมริกาเป็นผู้นำ กับโลกคอมมูนิสต์ที่มีอดีตสหภาพโซเวียตรัสเซียเป็นผู้นำเคียงคู่กับประเทศจีนอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อครอบงำความคิดของประชาชนชาวไทยจากรัฐบาลไทยที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนทั้งเงินตราและอาวุธจากอเมริกาในการใช้ดินแดนไทยเป็นกำแพงขวางกั้นการแพร่ขยายอิทธิพล-ลัทธิคอมมิวนิสต์สู่เอเชีย ในความเข้าใจของคนไทยแล้ว คำว่า “คอมมิวนิสต์” นั้นจึงเปรียบเสมือนตัวแทนปีศาจซาตานที่เหี้ยมโหดกระหายเลือดในมุมมองของคนไทยตั้งแต่นั้นมา เนื่องจากถูกปิดกั้นทางปัญญาและปั้นแต่งให้ คอมมิวนิสต์ นั้นโหดเหี้ยมชั่วร้ายดั่งปีศาจซาตานกระนั้นเลยทีเดียว แต่ปัจจุบัน โฉมหน้า-สถานการณ์ของประเทศจีนขณะนี้นั้น กลับเป็นไปทางตรงกันข้ามกับข้อกล่าวหาโดยสิ้นเชิง ด้วยประเทศจีนสามารถพัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดีกินดีให้กับประชากรทั่วทั้งประเทศในเวลาอันสั้น (โดยเฉพาะเกษตรกรชาวรากหญ้า) หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เกิดจากระบอบการปกครอง และการบริหารประเทศจากผู้นำที่เสียสละเพื่อมวลชนของประเทศโดยแท้จริง ซึ่งโดยความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันเราได้นำหลักการของ คอมมิวนิสต์มาใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หากแต่เปลี่ยนชื่อเรียกใหม่เสียเสนาะหูสวยหรูว่า “สหกรณ์” นั่นเอง (โอทอป)

อย่าได้เข้าใจผิดคิดว่าจะหยิบยกเรื่องการเมืองมาโอภาปราศรัยกันนะครับ เพียงแต่เกริ่นกล่าวเบิกโรงพื้นฐานทางการเมืองที่แตกต่างจากประเทศเราสักนิดหนึ่ง เพื่อที่จะได้ทำความเข้าใจ และเปรียบเทียบถึงการพัฒนาการทางการเกษตรของไทยเราที่เดินตามรอยทางของประเทศตะวันตกเรื่อยมานั้น (ระบอบเสรีประชาธิปไตยที่คนไทยเข้าใจกันแบบฟองน้ำ) มีความแตกต่างกับประเทศจีน ที่ปกครองด้วยระบอบเผด็จการสังคมนิยมประชาธิปไตยที่เหนียวแน่นอย่างไร

รัฐบาลจีนตระหนักถึงปัญหาและภัยอันตรายของการขาดแคลนอาหารการกินเป็นที่สุด เนื่องจากอดีตที่ผ่านมานั้น ประชาชนชาวจีนต้องประสบกับความอดอยากลำบากแสนเข็ญ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ เมื่อจัดตั้งประเทศจีนใหม่สำเร็จแล้ว สิ่งสำคัญที่รัฐต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนนั้นก็คือ การผลิตอาหารให้เพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศแล้ว ยังต้องกันสำรองไว้ยามคับขันด้วยอีกส่วนหนึ่ง ดังนั้น รัฐบาลจีนจึงให้ความสำคัญในภาคการเกษตรเป็นอย่างยิ่ง มีการวางแผนพัฒนาทั้งทางด้านการผลิต และการแปรรูป การให้ความรู้แก่เกษตรกร จัดตั้งหน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชน มีการกระจายความรู้ใหม่ๆด้วยสื่อต่างๆอย่างกว้างขวาง ให้การสนับสนุนทางการเงินและเทคโนโลยีใหม่ๆมิได้ขาด เกษตรของประเทศจีนจึงมีการพัฒนาก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง หากแต่เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ในวงกว้าง เนื่องด้วยติดขัดทางด้านภาษานั่นเอง (แม้แต่ลูกหลานมังกรจีนในประเทศไทยทุกวันนี้ ก็ไม่สามารถสื่อสารภาษาจีนได้ เนื่องจากถูกรัฐบาลไทยในสมัยจอมพล ป.ทำการปิดกั้นการเรียนภาษาจีนโดยสั่งปิดโรงเรียนที่สอนภาษาจีนกันทั่วทั้งประเทศ) เพราะฝ่ายปกครองจีนตระหนักได้ดีว่า เมื่อไรที่ประชาชนอิ่มท้อง อยู่ดี กินดี ความกระด้างกระเดื่องก็ลดน้อยลงเป็นแม่นมั่น

เรื่องที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ยกมานำเสนอให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการเพิ่มผลผลิตด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม ลดการใช้สารพิษ ลดสารเคมีที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค ซึ่งไม่ใช่เรื่องยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างไร เพียงแต่ว่าเขาใส่ใจในสิ่งเล็กๆน้อยๆได้ดีกว่าเรา และทำการศึกษาเจาะลึกลงไปในรายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น ด้วยความมุมานะ มุ่งมั่นอย่างจริงจัง จึงได้ค้นพบแนวทางใหม่ๆที่เราคาดคิดไม่ถึง เป็นการแก้ปมปัญหาที่ยุ่งยากได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการหยิบยกเอาหลักการทางฟิสิกส์มาประยุกต์ใช้กับการเพาะปลูก เช่นนำเอาคลื่นเสียง (เสียงเพลง-เสียงดนตรีมาเปิดกระจายในบริเวณที่ปลูกพืช นำเอาหลักการแยกประจุไฟฟ้าของแร่ธาตุในดินมาฆ่าทำลายเชื้อโรคในดิน เป็นต้น)

เราต่างรู้จักแม่เหล็กกันเป็นอย่างดี แล้วแม่เหล็กนั้นสามารถเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้อย่างไร ? เป็นเรื่องที่ชวนให้กังขาน่าสงสัยใช่ไหม เอาละ ก่อนที่จะอธิบายในรายละเอียด ขอให้แวะเข้าไปดูวิดีโอการนำเอาแม่เหล็กมาประยุกต์ใช้งานทางการเพาะปลูกกันก่อนที่

http://v.ku6.com/special/show_3481713/JUotGcW7Ny4rL1YM.html

จากวิดีโอที่ผ่านสายตาไปแล้วนั้น จะเห็นอุปกรณ์รูปทรงแท่งสี่เหลี่ยม ที่มีช่องเปิดเล็กๆอยู่ด้านบน เกษตรกรจะนำเอาเมล็ดพันธุ์ที่ซื้อจากร้านค้ามาฉีกเปิดซองออก แล้วคัดเลือกสิ่งแปลกปลอมออก โดยเฉพาะวัสดุที่เป็นโละก่อนที่จะค่อยๆโรยเมล็ดพันธุ์ใส่ลงในช่องด้านบนดังที่ได้อธิบายมาแล้ว เพื่อป้องกันอุปกรณ์ดังกล่าวเสื่อมด้อยคุณภาพในการทำงาน

กล่องสี่เหลี่ยมดังกล่าว คือเครื่องกระตุ้นพลังความงอกของเมล็ด ซึ่งเป็นพื้นฐานหลักการเจริญเติบโตของพืชในลำดับต่อไป มิใช่เพียงแค่ผลทางด้านความงอก และการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังมีผลต่อเนื่องถึงความแข็งแรง ความต้านทานต่อโรคและสภาพแวดล้อมของต้นพืชอีกด้วย อีกทั้งยังให้ผลผลิตที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้นเหนือระดับปกติธรรมดาอีกด้วย

หลักการทำงานที่ส่งผลกระทบต่อเมล็ดพืชนั้น เกิดจากคลื่นพลังสนามแม่เหล็กที่ได้มีการวางแท่งแม่เหล็กเป็นคู่ตรงข้ามช่องว่างในระดับเดียวกัน จากการจัดวางให้ขั้ว + และ – เผชิญหน้าเข้าหากัน อันจะทำให้เกิดแรงดูดขึ้นในช่องว่างของกล่องเครื่องมือ และคลื่นพลังงานที่ทะลุผ่านเมล็ดพืชนี่เองจะเป็นสิ่งกระตุ้นการทำงานของ ออแกนนอยด์ ต่างๆภายในเซลล์ ทำให้กระบวนการทางชีวเคมีดำเนินไปอย่างแข็งขัน บรรลุถึงศักยภาพสูงสุด ส่งผลให้เมล็ดพันธุ์มีอัตราการงอกสูงขึ้น เจริญเติบโตแข็งแรง สมบูรณ์พร้อมที่จะให้ผลผลิตที่มีคุณภาพ และมีปริมาณผลผลิตเต็มที่ตามปัจจัยที่เราป้อนให้นั่นเอง

หลักการใช้อุปกรณ์กระตุ้นพลังชีวิตของเมล็ดพืชนั้นทำได้ง่ายๆ เพียงแต่ค่อยๆหยอดเมล็ดพันธุ์ลงในช่องใส่เมล็ดพันธุ์ เมล็ดพันธุ์จะไหลตกผ่านช่องสนามแม่เหล็ก จากนั้นก็จะล่วงไหลออกทางช่องรองรับด้านล่าง ก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ หากแต่ต้องทำซ้ำ 2 ครั้ง จึงจะให้ผลที่สมบูรณ์เต็มที่

เมล็ดพันธุ์ที่ได้รับการกระตุ้นจากอุปกรณ์ตัวนี้แล้ว ต้องทำการเพาะปลูกภายใน 24 ชั่วโมง หากล่วงเลยเวลาที่กำหนดไปแล้ว ต้องดำเนินการใหม่ก่อนที่จะนำเมล็ดไปเพาะปลูก

ข้อควรระวังอย่างหนึ่งในการใช้อุปกรณ์กระตุ้นพลังชีวิตของเมล็ดพันธุ์ก็คือ อย่านำอุปกรณ์ไปวางใกล้ๆบริเวณที่มีสายไฟแรงสูงพาดผ่าน เพราะสายไฟแรงสูงนั้นเป็นแหล่งปลดปล่อยสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ที่จะไปตัดกับแม่เหล็กที่อยู่ภายในตัวอุปกรณ์ ซึ่งจะทำให้ตัวอุปกรณ์เสื่อมประสิทธิภาพ และการเก็บรักษาอุปกรณ์ก็ควรเก็บในแหล่งที่ปลอดสนามพลังเหล่านี้ด้วย เพื่อจะได้มีอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น

เมื่อเข้าใจหลักการทำงานของอุปกรณ์ตัวนี้แล้ว อย่าเพิ่งลิงโลดใจคว้าเอาแท่งแม่เหล็กมาประกอบวางตั้งใช้งานเสียล่ะ เพราะความเข้มของสนามพลังแม่เหล็กที่เกิดขึ้นมีผลต่อเมล็ดพันธุ์นั้น ต้องมีความเข้มข้นในระดับหนึ่ง จึงจะบังเกิดผล ส่วนเป็นเท่าไรนั้น เอาไว้บอกกล่าวกันคราวหน้า

อ้อ ลืมบอกเล่าไปหน่อยหนึ่ง ที่ประเทศจีนนั้น ที่หน้าร้านจำหน่ายเมล็ดพันธุ์เกือบทุกแห่งจะมีอุปกรณ์เจ้าตัวนี้วางตั้งให้เกษตรกรที่ซื้อเมล็ดพันธุ์ได้ใช้งานกันฟรีๆ ไม่ต้องซื้อหามาใช้เป็นการส่วนตัวแต่ประการใด เป็นบริการของหน่วยงานรัฐบาลที่อำนวยความสะดวกถึงลูกถึงคนเลยทีเดียว

วิดีโอชุดนี้ เป็นแค่คลิปสั้นๆ ยังมีวิดีโออีกชุดหนึ่งที่ถ่ายทำล้วงลึกถึงรายละเอียดที่มากกว่านี้ เพราะอุปกรณ์ที่กล่าวมานี้ ทำงานได้กับเมล็ดพันธุ์ทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ด้วยชิ้นส่วนอื่นๆที่มีขนาดใหญ่กว่านี้ คงนำมาใช้งานกับอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ได้ อย่าง แง่งขิง หัวมันฝรั่ง หัวหอม – กระเทียม เป็นต้น จึงต้องใช้อุปกรณ์อีกตัวหนึ่งที่ทำการปรับปรุงแก้ไขมาให้ใช้งานได้กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์หรือชิ้นส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์อื่นๆดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังมีหนทางที่สะดวกง่ายดายกว่านั้น ที่ให้ผลลัพธ์เหมือนอุปกรณ์ตัวนี้ ถ้าคิดไม่ออก ก็ให้ย้อนกลับไปดู อุปกรณ์นาโนที่มีชื่อเรียกว่า นาโน 863 สิครับ

http://www.eco-agrotech.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=390953

ผลลัพธ์ของมันก็ไม่ด้อยกว่าวิธีนี้เลย ไม่ว่าจะเลือกใช้พลังงานแม่เหล็ก หรือพลังงานจากคลื่นอินฟราเรดก็ตาม เกษตรกรไทยเราไม่ใคร่ให้ความสนใจนัก เพราะผลที่เกิดขึ้นนั้นค่อยเป็นค่อยไปในระยาววันข้างหน้า เพราะเกษตรกรไทยใจร้อน พึงพอใจกับผลที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วฉับพลันทันตาเห็น อย่างการใส่ปุ๋ยยูเรียแล้ว ภายใน 2-3 วัน ใบพืชก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวพรืด แต่หารู้ไม่ นั่นเป็นการทำให้พืชอ่อนแอลง ด้วยเป็นการเร่งการเจริญเติบโตทางใบเหนือดินเท่านั้น แต่ระบบรากที่อยู่ใต้ดินนั้นกลับไม่มีการพัฒนาเลย จึงขาดความสมดุลในการเจริญเติบโต หากจะบอกกล่าวกันแล้ว อุปกรณ์ นาโน 863 นั้น สรรพคุณของมันหลากหลายรอบด้าน อีกทั้งยังให้ผลลัพธ์ที่เด่นชัดกว่า อนึ่งพึงได้ทำความเข้าใจอีกหน่อยหนึ่ง สินค้า หรืออุปกรณ์ใดๆที่มีเลขต่อสอยห้อยตามด้วย 863 นั้น (ในประเทศจีน) เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติแล้วว่า มีคุณสมบัติโดดเด่นเป็นที่เชื่อถือได้ และที่ก้าวหน้าแปลกหน้าแปลกตาไปจากวิธีการดั้งเดิมนั้นเป็น เกษตรนิเวศน์เชิงฟิสิกส์ ครับ เป็นอย่างไรเอาไว้ พบกันใหม่คราวหน้าครับ

หมายเหตุ :

จากการได้สัมผัสกับเกษตรกรไทยมานานพอสมควร นิสสัยอย่างหนึ่งของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ (เกือบทั้งหมดก็ว่าได้) ก็คือ ความมักง่าย ชอบความสะดวกสบายในการงานการอาชีพ การใดที่ยุ่งยากมักจะไม่สนใจอยากทำ และหวังผลงานการเพาะปลูกแบบทันตาเห็น (ปลูกปุ๊บ เก็บเกี่ยวได้ปั๊บ ใช้วันนี้ เห็นผลวันพรุ่งนี้ละก้อ พ่อชอบใจอย่าได้บอกใครเลยเชียว) แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ผลปรากฏ - ผลประโยชน์ที่ได้ ต้องอาศัยเวลาค่อนข้างยาวนานจึงจะเห็นผลแล้วจะก้อ จะไม่ใส่ใจซื้อหามาใช้กันเลย นี่เป็นลักษณะที่ทำให้ต่างชาติมองเกษตรกรไทยว่า มีนิสัยเกียจคร้าน (ความจริงไม่ได้เกียจคร้านดอก แต่อยากทำงานสบายๆ ได้ผลไวๆต่างหากเล่า)

เครื่องกระตุ้นความงอก และเพิ่มพลังชีวิตของเมล็ดพันธุ์ รุ่น CJ-III

เทเมล็ดพันธุ์ที่ต้องการกระตุ้นพลังชีวิต - ความงอกลง

นำเอาภาชนะมารองรับเมล็ดพันธุ์  ที่ร่วงผ่านสนาม
แม่เหล็กทางช่องออกด้านล่างของตัวเครื่อง