เริ่มเปิดรายการ พิธีกร (ชาย) ก็ออกมาเกริ่นกล่าวถึงการผลิต บัวกินราก ของชนบทที่ชื่อว่า อยี๋ถาย ในเมืองซานตง (鱼台 / 山东) โดยทำการลดปริมาณปุ๋ยที่ใช้ลง แต่ทว่า ผลผลิตกลับเพิ่มได้ 4 ถึง 5 เท่าตัว (ถ่ายภาพให้เห็นการเก็บเกี่ยวรากบัว แล้วผู้จัดการสถาบันฯ คุณ จาง จื้เฉิง- 张志成 ผู้จักการสถาบันวิจัย ฯ ก็ออกมาบอกเล่าว่า) ได้ทำการลดปุ๋ยที่ใช้ลงเหลือ 120 กิโลกรัม แต่ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้น 9,600 – 12,000 กิโลกรัมต่อไร่เลยทีเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับการปลูกบัวกินรากโดยปกติทั่วไปแล้ว ได้ผลผลิตรากบัวเพียง 2,000 กิโลกรัมต่อไร่เท่านั้น และต้องใช้ปุ๋ยถึง 360 – 480 กิโลกรัมต่อไร่เลยนั่นเทียว เมื่อเทียบเป็นอัตราส่วนระหว่าง ปุ๋ย กับ ผลผลิต ต่อไร่ของคุณ จาง แล้วเป็น 1 ต่อ 50 แต่ปกติทั่วไปอัตราส่วนที่ว่านี้จะเป็น 1 ต่อ 10 เท่านั้น มันช่างห่างกันราว ฟ้า กับ ดิน เลยทีเดียว การทำไร่บัวของคุณจางนั้น ไม่เพียงลดปุ๋ยลงแล้วได้ผลผลิตเพิ่มเป็นเท่าๆตัวแล้ว ยังลดค่าของคาร์บอนลงอีกด้วย คุณจางมีหลักการอย่างไรที่สามารถดำเนินการให้ได้ผลผลิตที่ดี แล้วยังลดค่าคาร์บอนที่ปลดปล่อยลงได้ด้วย คุณจางกล่าวว่า มีเคล็ดอยู่ ประการดังนี้
1. คัดเลือกสายพันธ์ที่ดี สายพันธ์ที่ปลูกนี้แตกต่างจากสายพันธุ์ที่ใช้ปลูกกันมาเนิ่นนาน (พระเอกคนแรกเป็นสายพันธุ์ไทยครับ) เป็นสายพันธุ์ ท่าย กวั๋ว ฮวา ฉีเหลียน (泰国花奇莲) สาเหตุที่เลือกบัวสายพันธุ์นี้ เนื่องจากเป็นสายพันธุ์ที่มีใบมากแต่ให้ดอกน้อย เมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นแล้ว ดอกจะน้อยกว่ากันมากดังที่เปรียบเทียบให้เห็นนั่นแหละครับ แล้วมันมีอะไรที่แตกต่างกัน ? คุณจางได้นำเอาใบบัว 2 สายพันธุ์มาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างว่า บัวพันธุ์ไทยนั้นมีขนาดของใบที่ใหญ่กว่า (1 ใน 3) หนากว่า และ มีสีเขียวเข้มกว่า (มาถึงตรงนี้แล้ว นี่คือสิ่งที่เราพยายามเน้นให้เห็นถึงความสำคัญในการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืชว่า กลไกทางสังเคราะห์ด้วยแสงนั้น มีความสำคัญต่อการเพาะปลูกเป็นที่สุด หาใช่ปุ๋ย N P K ไม่) ดังนั้นเมื่ออยู่ในสภาพที่เหมือนกันแล้ว ปริมาณปุ๋ยที่ให้เท่าๆกัน พืชที่มีใบขนาดใหญ่ หนาและสีเข้มกว่า ย่อมเติบโตแลให้ผลผลิตมากกว่าแน่นอน นอกจากนั้นบัวไทยยังให้ดอกน้อย ซึ่งก็ให้ฝักบัวน้อยลงด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ได้ผลผลิตรากบัวเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจริญเติบโตของพืชนั้น แบ่งการสร้างอาหารที่แตกต่างกัน 2 ระยะ ระยะแรกนั้นเป็นการสร้างอาหารเพื่อการเจริญเติบโต และระยะที่สองเป็นการสร้างอาหารเพื่อเลี้ยงผลผลิต (รากมิใช่ผลผลิตของพืช แต่เราต้องการราก มิใช่ดอก) เมื่อเป็นเช่นนี้ บัวไทยจึงมีปริมาณและขนาดที่ใหญ่กว่า เนื่องจากระยะหลังนั้น อาหารที่สะสมที่รากนั้นไม่ถูกแบ่งแยกไปสร้างดอก และเมล็ด (ฝักบัว) เหมือนพันธุ์อื่นๆที่ให้ดอกและฝักมากกว่า จึงทำให้ผลผลิตรากน้อยกว่า ผลผลิตรากบัวพันธ์ไทยจึงเป็นที่นิยมของผู้บริโภค เพราะมีแป้งมากกว่า แข็งกรอบกว่า เพราะมีความแน่นมากกว่า
แม้ว่าคุณจางจะปลูกบัวกินรากได้ผลผลิตได้ดีดังกล่าวแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้พอใจเพียงแค่นั้น คิดว่าจักต้องหาทางลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลง แต่คงไว้ด้วยผลผลิตเท่าเดิม หรือให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้น และคุณจางก็สามารถทำได้ด้วย ทำได้อย่างไร เรามาดูกันต่อไป
เคล็ดที่ 2. สร้างบ่อเพาะเลี้ยงน้ำตื้นซีเมนต์ที่สามารถลดปริมาณการใช้ปุ๋ยลงได้กึ่งหนึ่ง คุณจางมีบ่อปลูกบัวกินราก 305 โหม่ว (127 ไร่) ถือได้ว่าเป็นบ่อบัวที่ค่อนข้างใหญ่เอามากๆ พื้นบ่อเทบุด้วยซีเมนต์ (กันน้ำรั่วซึม) ผนังบ่อใช้แผ่นซีเมนต์วางเรียง ความลึกของระดับน้ำถึงก้นบ่อ 50 ถึง 70 เซนติเมตร พื้นบ่อบรรจุใส่ดินปลูกที่มีความหนา 20 – 30 เซนติเมตร การบุบ่อเลี้ยงด้วยซีเมนต์นี้มีนัยในการกักน้ำมิให้ซึมลงดินชั้นล่าง ซึ่งจะนำพาเอาปุ๋ยที่หว่านลงสระซึมลงชั้นดินที่ลึกลงไป แต่เมื่อมีพื้นและผนังซีเมนต์กั้นกางขวางไว้แล้ว ปุ๋ยที่หว่านให้กับต้นบัวก็ถูกดูดซึมไปใช้งานได้ 80 -90 เปอร์เซ็นต์ เป็นการประหยัดปริมาณของปุ๋ยที่ใช้ได้มหาศาล ส่วนบ่อดินนั้น ปุ๋ยที่หว่านลงสระนั้นจะเกิดการสูญเสีย โดยซึมลึกลงในชั้นดินที่ลึกลงไป ทำให้บ่อน้ำเป็นมลพิษขึ้นอีกต่างหาก ได้มีการเปรียบเทียบบ่อเพาะเลี้ยงบัวดังกล่าวเหมือนกับกระถางเพาะเลี้ยงบัวขนาดใหญ่ ที่สามารถเก็บกักน้ำและปุ๋ยได้อย่างดี ปุ๋ยจึงถูกบัวดูดซับไปใช้งานได้เกือบหมด จากการทดสอบ ปุ๋ย 240 กิโลกรัม สามารถเก็บรากบัวได้ 4,000 ถึง 5,000 กิโลกรัม (ซึ่งปกติต้องใช้ปุ๋ย 400 กิโลกรัม) อัตราส่วนของปุ๋ย ต่อ รากบัวที่เก็บเกี่ยวได้ เท่ากับ 1 ต่อ 50 เลยทีเดียว เมื่อเป็นดังนี้แล้ว ก็เท่ากับประหยัดน้ำได้อีกกึ่งหนึ่งที่ใช้ตามปกติอีกด้วย ด้วยความกว้างใหญ่ของบ่อเพาะเลี้ยง เพื่อความคล่องตัวในการจัดการ คุณจางได้วางก้อนซีเมนต์เป็นทางเดินไว้ทิศทางเหนือ ใต้ โดยมีระยะห่างเส้นเส้นละ 20 เมตร (โดยเฉพาะการหว่านให้ปุ๋ยบัว)
|