ฤดูหนาวทำการฝังกลบ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิถัดมาก็ต้องทำการเปิดหน้าดิน ยกต้นองุ่นขึ้นพาดพิงเกาะหลักติดร้านอีกครั้ง คนไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ หากทำได้ไม่ดี อาจทำให้ต้นองุ่นตายได้ ศาสตราจารย์หลี่บอกว่า องุ่นที่อำเภอเหยียนฉิ้งที่เกษตรกรนำเข้ามาปลูกไม่จำเป็นต้องฝังกลบต้นแล้ว เกษตรกรก็ยังไม่มั่นใจสักเท่าไรนัก ทั้งๆที่คุณ หลี่ ซ่าวฮว๋า (李绍华) เป็นถึงหัวหน้าส่วนผู้ชำนัญการด้านพืชสวนที่ศึกษาด้านการปลูกองุ่นมาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
คุณหลี่บอกว่า ในปี 2013 พื้นที่ปลูกองุ่นเพื่อผลิตไวน์นั้นได้ขยายเขตุออกไปมาก ผลผลิตไวน์ในปีหนึ่งๆไม่ต่ำกว่าล้านตัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สายพันธุ์องุ่นที่ปลูกล้วนแต่นำเข้ามาจากต่างประเทศทั้งสิ้น แต่องุ่นที่เกษตรกรเริ่มปลูกอยู่ ณ.ที่นี้ เป็นสายพันธุ์ที่ทางการจีนได้ทำการพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ขึ้นมาเอง กล่าวได้ว่าเป็นเชื้อชาติ และสัญชาติองุ่นพันธุ์แท้ของจีนเอง แต่มีความโดดเด่นดีกว่าสายพันธุ์องุ่นต่างประเทศก็คือ ทนทานต่อความหนาวเย็นของอากาศได้อย่างยอดเยี่ยม หน้าหนาวไม่ฝังกลบต้นก็ไม่ตาย แล้วสายพันธุ์องุ่นที่ว่านี้มีความเป็นมาอย่างไร เรื่องนี้ต้องเท้าความย้อนกลับไปในปี 1950 เมื่อ 60 ปีก่อน ก่อนที่คุณหลี่ยังไม่เกิด ผู้คนรุ่นก่อนก็ได้เริ่มทำการวิจัยค้นคว้าหาสายพันธุ์องุ่นทำไวน์ที่ทนอากาศหนาวเย็นได้ และคณะบุคคลที่บุกเบิกงานชิ้นนี้ที่ยังคงมีชีวิตอยู่จนบัดนี้ (ปัจจุบันท่านอายุ 92 ปี) ก็ได้กลับเข้ามาร่วมงานอีกครั้งหนึ่ง ท่านผู้นั้นคือ หลี เซิ่งเฉิง (黎盛臣)
คุณตาหลีบอกว่า ในเวลานั้น ประเทศจีนไม่ใคร่มีเหล้าองุ่น พื้นที่ปลูกองุ่นก็น้อย พันธุ์องุ่นที่นำเข้ามาปลูกก็ไม่ทนทานต่ออากาศที่หนาวเย็น จึงต้องทำการกลบโคนฝังต้นทุกครั้งเมื่อย่างเข้าฤดูหนาว เป็นงานการที่ยุ่งยากแลเสียเวลาเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้นโจทย์ที่คณะทำงานจักต้องตอบให้ได้ก็คือ ต้องสร้างสายพันธุ์องุ่นที่สามารถต้านทานอากาศที่หนาวเหน็บให้ได้ เพื่อว่าจักได้ตัดทอนงานการยุ่งยากที่เสียทั้งเวลาและแรงงานทิ้งไป อีกทั้งยังลดต้นทุนลงได้อีกมากโข
ดังนั้นในปี 1954 จากการชี้แนะของนักวิชาการด้านพืชสวนที่มีชื่อ คุณเสินจวิน (沈隽) คณะทำงานจึงได้คัดเลือกพื้นที่ ตรงตีนเขา เซียงซาน (香山) เริ่มดำเนินการคัดเลือกสายพันธุ์องุ่นกันอย่างขนานใหญ่ สายพันธุ์องุ่นที่มีความทนทานอากาศหนาวเย็นนั้นมีมานานแล้ว หากแต่เป็นองุ่นป่าที่ไม่เหมาะที่จะนำมาทำเหล้า แต่เรียกได้ว่า มีความทนทายาท แม้แต่อุณหภูมิติดลบ 40 องศาก็ยังยืนต้นมีชีวิตอยู่ได้ แต่ให้ผลผลิตต่ำ ผลก็ไม่เหมาะที่นำมาทำเหล้า ผลองุ่นป่านั้นมีส่วนของกรดสูง (รสเปรี้ยว) น้ำตาลต่ำ (ความหวาน) เมื่อนำมาผลิตไวน์ คุณภาพของไวน์นั้นก็แย่เต็มทน รสชาตินั้นบอกได้ว่า ดื่มไม่ลงคอ (อันนี้คุณหลี่ ซ่าวฮว๋าบอกนะครับ)
องุ่นป่ามีส่วนของน้ำตาลค่อนข้างต่ำ ทั่วๆไปมีองค์ประกอบของน้ำตาล 12 – 13 หน่วยบริกส์เท่านั้น แต่องุ่นที่จะนำมาหมักทำไวน์นั้นต้องการระดับของน้ำตาลสูงถึง 22 หน่วย จึงจะได้ไวน์ที่มีคุณภาพ องุ่นป่ามีคุณสมบัติที่ต้านทานอากาศหนาวเย็นได้ดี แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาผลิตเหล้าไวน์ หากนำองุ่นป่ามาผสมข้ามพันธุ์กับองุ่นสายพันธุ์ดี การปรับปรุงพันธุ์โดยวิธีนี้ จะทำให้ได้องุ่นลูกผสมที่มีคุณภาพและต้านทานอากาศที่หนาวเย็นได้ ครั้งกระนั้น ผู้ชำนัญการอาวุโสได้เลือกเอาองุ่น หมัยกุ้ยเซียง “玫瑰香” (กุหลาบหอม) มาเป็นสายพันธุ์แม่ องุ่นสายพันธุ์นี้ เป็นทั้งสายพันธุ์กินผลสดและทำไวน์ มีระดับของน้ำตาลสูงกว่าองุ่นป่ามาก และมีกลิ่นหอมพิเศษเฉพาะตัว (กลิ่นกุหลาบ)
เหล้า (หรือไวน์) เป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของน้ำตาลแล้วสลายตัวเป็นแอลกอฮอล์โดยผ่านขบวนการย่อยสลาย (หมัก) ของเชื้อจุลินทรีย์จำเพาะอย่าง องุ่นที่เก็บเกี่ยวหลังจากคัดแยกขั้วผลออกแล้ว ผ่านการบดย่อยจนเปลือกแตก แล้วถูกนำไปสู่ขบวนการบ่มหมัก จนเกิดการเปลี่ยนแปรทางชีวเคมี โดยน้ำตาลจะค่อยๆเปลี่ยนแปรเป็นแอลกอฮอล์ ถ้าปริมาณน้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบในผลองุ่นน้อย แอลกอฮอล์ ก็เกิดน้อย เหล้านั้นจึงมีคุณภาพต่ำ
เมื่อทำการคัดเลือกสายพันธุ์พ่อและแม่ได้แล้ว (กุหลาบหอมเป็นสายแม่ องุ่นป่าเป็นสายพ่อ) ขั้นต่อไปคือขบวนการผสมเกสร ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะในดอกแต่ละดอกขององุ่นนั้นเป็นดอกสองเพศ คือมีทั้งเกสรตัวผู้และตัวเมียอยู่ร่วมกัน ต้องขจัดเกสรตัวผู้ในแต่ละดอกออกให้หมด และดอกองุ่นนั้นเป็นดอกช่อที่มีจำนวนมากนับไม่ถ้วน แต่ละดอกยังมีขนาดเล็กกว่าเมล็ดข้าวเสียอีก ต้องใช้สมาธิและความพยายามเป็นอย่างสูงในการคีบตัดเกสรตัวผู้ออกให้หมดจด ถ้าหากยังมีเกสรตัวผู้หลงเหลือเพียงดอกเดียว ต้นพันธุ์รุ่นลูกรุ่นหลานนั้นก็แยกแยะไม่ได้เลยว่า สายพ่อนั้นคือสายพันธุ์ต้นไหนกัน (ต้นพันธุ์ในสายพันธุ์เดียวกันใช่ว่าจะมีลักษณะเหมือนกันหมด ยังมีความแตกต่างกันออกไปอีกต่างหาก)
ดอกองุ่นที่กำจัดเกสรตัวผู้หมดจดไปแล้ว จึงนำเอาก้านไม้ขนาดเล็กพันปลายข้างหนึ่งด้วยสำลีไปแตะเกสรตัวผู้ของดอกองุ่นป่า แล้วนำไปป้ายบนเกสรตัวเมียของดอกองุ่นที่ใช้ทำเป็นต้นแม่ (กุหลาบหอม)
ปฏิบัติการ ข้ามสายพันธุ์ดังกล่าวดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี แต่จีนมีคำกล่าวที่ว่า “มังกรเกิดลูกเก้าตัว แต่ละตัวก็ยังแตกต่างกันออกไป”ต้นพันธุ์องุ่นรุ่นลูกรุ่นหลานที่เกิดขึ้นนั้นมีความผันแปรแตกต่างออกไปมากหลาย บางต้นผลมีรสเปรี้ยว บางต้นรสหวาน ผลเล็ก ผลใหญ่ ดังนั้นคณะทำงานจึงต้องคัดเลือกต้นพันธุ์เหล่านี้มาทำการผสมไขว้กันอีกครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่ต้องการ (มีรสหวาน ผลใหญ่ ลูกดอก สีสวย) และที่สำคัญก็คือ มีความต้านทานต่ออากาศที่หนาวเย็นได้ดี
คุณตา หลี เซิ่งเฉิน (黎盛臣) เล่าว่า งานผสมข้ามพันธุ์ดังกล่าวดำเนินไปสิบกว่าปี กระทั่งถึงปี 1967 – 1968 คัดเลือกได้ต้นพันธุที่มีลักษณะเด่นตามต้องการได้ 3 ต้น เมื่อนำไปทำการหมักบ่มเป็นเหล้าไวน์ออกมา ปรากฏว่ารสชาติไม่เลวเลย เมื่อจะดำเนินการต่อไป ก็เกิดเหตุการณ์ผันผวนทางการเมืองขึ้นใน (เหตุการณ์ปฏิวัติวัฒนธรรม / เรดการ์ด) จึงทำให้งานการในโครงการหยุดชะงักกลางคันไปหลายปี เพราะเจ้าหน้าที่ถูกจัดส่งไปทำงานในไร่นาทั่วประเทศ โชคดีที่เจ้าหน้าที่เทคนิคผู้หนึ่งได้เก็บรักษาสายพันธุ์เอาไว้ เมื่อเหตุการณ์อลหม่านทางการเมืองสงบลง จึงมีการฟื้นฟูหน่วยงานขึ้นมาใหม่ในศตวรรษที่ 21 โดยมีศาสตราจารย์ หลี่ ส้าวฝา เป็นผู้สืบทอดโครงการเป็นรุ่นที่ 3 ได้นำเอาสายพันธุ์ที่รักษาไว้มาทำการคัดพันธุ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนได้สายพันธุ์ที่แข็งแกร่งคงที่ เป็นสายพันธุ์ที่ดีเด่น 2 สายพันธุ์ คือ เป่ยหง (北红) เป่ยไหม (北玫) จนได้รับการรับรองพันธุ์อย่างเป็นทางการ และได้ทำการเผยแพร่กระจายพันธุ์ไปทั่วประเทศ นับเวลาตั้งแต่เริ่มงานจนงานสำเร็จลุล่วง กินเวลายาวนานเกือบ 60 ปีเต็ม
|